แม้จะเป็นแฟรนไชส์ที่อาจไม่คุ้นชื่อสำหรับคนรุ่นใหม่ แต่เมื่อ 48 ปีที่แล้ว ‘The Omen’ เวอร์ชันปี 1976 เป็น 1 ในหนังสยองขวัญระดับ (เกือบจะเป็น) ตำนานที่เป็นคลื่นลูกใหม่ของหนังสยองขวัญระดับปรากฏการณ์ ‘The Exorcist’ (1973) และเป็นคลื่นลูกใหม่ของหนังแนวบูชาซาตาน ต่อต้านพระเจ้า (Antichrist) ไล่หลังมาจาก ‘Rosemary’s Baby’ (1968) และว่ากันว่าฉากการตายโหด ๆ ของหนังชุดนี้ก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับแฟรนไชส์หนังโหดขึ้นหิ้งอย่าง ‘Final Destination’ แบบกลาย ๆ ด้วย โดยหนัง ‘The Omen’ เป็นผลงานการเขียนบทและเรื่องราว และดัดแปลงฉบับนิยายโดย เดวิด เซลท์เซอร์ (David Seltzer) กำกับโดย ริชาร์ด ดอนเนอร์ (Richard Donner) ผู้กำกับคุ้นชื่อจาก ‘Superman’ (1978) ในตำนาน
ชื่อเสียงขอดดง ‘The Omen’ ภาคแรกไม่ได้มีแค่ด้านคำวิจารณ์และรายได้ที่อยู่ในระดับดีเท่านั้น แต่มันยังสร้างปรากฏการณ์หนัง Antichrist ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศ ฉากการตายแบบโหดพิสดาร ขัดต่อภาพจำที่คนทั่วไปจะได้เห็น ผสมพล็อตแนวสืบสวนสอบสวนแบบหนังสยองขวัญยุค 70s ทำให้น่าติตดามจนไม่สามารถละสายต่อไปจากหน้าจอ และตัวละครบุตรแห่งซาตาน เดเมียน ธอร์น (Damien Thorn) เด็กชายที่เกิดวันที่ 6 เดือน 6 ปี 1976 เวลา 6 โมงเช้า ความสำเร็จด้านรายได้และกระแส (ชื่นชอบ-ต่อต้าน) ทำให้ 20th Century Fox เข็นภาคต่อออกมา แต่ก็เทียบกับภาคแรกไม่ติด ตั้งแต่เรื่องราวของเดเมียนวัยมัธยมใน ‘Damien: Omen II’ (1978), และปิดฉากเดเมียนวัยผู้ใหญ่ใน ‘Omen III: The Final Conflict’ (1981) และเริ่มตอกฝาโลงตั้งแต่ ‘Omen IV: The Awakening’ (1991) ฉบับหนังทีวีที่เปลี่ยนเพศลูกซาตานเป็นผู้หญิง (ทำไม ? ) และฉบับรีเมกปี 2006 ที่ก็ยังทำได้ไม่ประสบความสำเร็จปิดตายแฟรนไชส์จากไปอย่างสงบ
จนมาถึงปีนี้ในช่วงที่ผ่านมา 20th Century Studios ขอตามกระแสฮอลลีวูดด้วยการการปลุกชีพหนังภาคต่อ แต่ความพิเศษของ ‘The First Omen’ ก็คือมันเป็นหนัง Prequel หรือหนังภาคต้นที่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนถึงเวลาที่เด็กชายเดเมียนจะถือกำเนิดใน ‘The Omen’ ภาคแรก โดยในภาคนี้ได้ อาร์คาชา สตีเวนสัน (Arkasha Stevenson) ผู้กำกับซีรีส์สยองขวัญ ‘Channel Zero’ (2018) และ ‘Brand New Cherry Flavor’ (2021) มาชิมลางกำกับหนังยาวครั้งแรก และร่วมเขียนบทกับ คีธ โธมัส (Keith Thomas) และ ทิม สมิธ (Tim Smith)
ย้อนกลับไปสู่จุดกำเนิดของเด็กปีศาจ
เล่าเรื่องของ ซิสเตอร์มาร์กาเร็ต เดโน (นีล ไทเกอร์ ฟรี – Nell Tiger Free) แม่ชีวัยสาวชาวอเมริกัน ที่ถูกส่งตัวไปยังกรุงโรม อิตาลี ให้มารับใช้ในคอนแวนต์แห่งหนึ่งที่เป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่แล้วมาร์กาเร็ตก็ต้องพบกับสิ่งผิดปกติ เมื่อเธอได้พบกับ คาร์ลิตา สกิอันนา (นิโคล โซเรซ – Nicole Sorace) เด็กสาวกำพร้านิสัยเก็บตัวหวาดระแวง และ ซิสเตอร์แองเจลิกา (อิชตาร์ เคอร์รีย์ วิลสัน – Ishtar Currie-Wilson) พี่เลี้ยงของเด็กกำพร้า พร้อม ๆ กับที่เธอต้องเหตุวิปลาศและลางร้ายที่เกิดขึ้นมา จนกระทั่งเธอได้ล่วงรู้ความลับบางอย่างจากบาทหลวงเบรนแนน (ราล์ฟ อิเนสัน – Ralph Ineson) ถึงแผนการลับสยองขวัญของคนบางกลุ่มที่กำลังต้องการปลุกชีพซาตานให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ด้วยความที่หนัง
เรื่องนี้มีสถานะเป็น Prequel ของจักรวาล ‘The Omen’ นะครับ แต่พอหลังจากดูจบแล้ว ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าตัวหนังมีเจตนาต้องการจะเชื่อมต่อกับหนังต้นฉบับของดอนเนอร์มากกว่าฉบับรีบูตและรีเมก ไม่ว่าจะด้วยเซ็ตติงเวลาที่เกิดขึ้นในยุคนั้นพอดี รวมทั้งการ Easter Egg จากหนังต้นฉบับ ฉากคลาสสิกที่โหดกว่าเดิม พร้อมกับประโยค “It’s all for you, Damien” (เดเมียน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเธอ) รวมทั้งการหยิบข้อมูลจากตัวละครบาทหลวงเบรนแนน (ในฉบับ 1976) เกี่ยวกับวันโลกาวินาศ การกลับมาเกิดของซาตานตามคัมภีร์ไบเบิล
หรือแม้แต่การขยายปมจากข้อมูลที่หนังทิ้งเอาไว้ว่า เดเมียนคือบุตรของซาตานที่เกิดจากแม่ชีกับหมาไน รวมทั้งธีมที่ต้องการให้ซาตานลงมามีตัวตนบนโลกในยุคปัจจุบัน และพยายามใช้อิทธิพลในการยึดครองอำนาจ และถ้าใครพยายามจะกำจัดหรือขัดขวาง ก็ล้วนมีอันเป็นไปทุกราย
แม้ว่าตัวหนังจะเชื่อมต่อกับภาคแรกของดอนเนอร์ แต่ผู้เขียนก็อยากแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องดูก่อนนะครับ ไปดู ‘The First Omen’ ก่อนเลยก็ได้ แล้วย้อนกลับมาดู ‘The Omen’ อีกที เพราะตัวหนังมันเจ๋งตรงที่นอกจากจะตอบคำถามและเชื่อมปมบางอย่างเข้ากับภาคแรกได้อย่างครบถ้วนและพอดิบพอดีกับภาคแรกแบบไร้รอยต่อ เหมือนเป็น ‘Rogue One’ ที่มาเชื่อมจักรวาล ‘Star Wars’ ได้พอดี